สหรัฐ และอิสราเอล กับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเฮติ

คอลัม:
อบู อุบัยยฺ นาแซ

แผ่นดินไหวที่เฮติ แหล่งผลประโยชน์ของสหรัฐ-ยิว

ลายๆ คนคงได้ติดตามข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศเฮติซึ่งตัวเลขผู้เสียชีวิต อย่างเป็นทางการตอนนี้อยู่ที่ 120,000 คน ไม่รู้ว่าขณะที่ท่านกำลังอ่านบทความนี้ ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะถึง 2 แสนคนตามที่มีการคาดการกันไว้หรือไม่? ภาพผู้เสียชีวิต ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้ไม่มีบ้านจะอยู่ ภาพการแย่งอาหาร ภาพการปล้นสะดม ซากปรักหักพังของบ้านเรือน ภาพสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลาย เหล่านี้ผู้อ่านคงได้เห็นตามสื่อต่างๆมากมายนับตั้งแต่วันเกิดเหตุ

สิ่งที่ผู้เขียนจะนำเสนอในวันนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวเช่นเดียวกัน แต่เป็นเหตุการณ์ที่สื่อไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะถูกครอบงำ เพราะกลัว เพราะต้องการปกป้องพวกเดียวกันหรือเพราะอะไรก็ตาม แต่เหตุการณ์เหล่านี้ควรได้รับการเปิดเผย เหตุการณ์แรกคือ เหตุการณ์ฝรั่งเศสได้กล่าวหาสหรัฐอเมริกาว่าเข้ามายึดครองเฮติ เนื่องจากภายหลังแผ่นดินไหวไม่กี่วัน สหรัฐก็ได้ส่งทหารเข้าไปควบคุมสนามบินนานาชาติในกรุงปอโตแปรงส์เพื่อให้ เครื่องบินขนทหารและเครื่องบินรบของอเมริกาได้ลงจอดเพื่อนำทหารหลายหมื่นคน พร้อมอาวุธครบมือเข้ามาในเมืองหลวง แม้แต่สหประชาชาติก็ได้วิจารณ์การกระทำดังกล่าวของสหรัฐโดยกล่าวว่า กองทัพสหรัฐเป็นอุปสรรคต่อความช่วยเหลือของนานาชาติ เนื่องจากได้ใช้สนามบินที่มีอยู่แห่งเดียวในการขนอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร (คงจะไปรบกับเหยื่อแผ่นดินไหวที่ไม่มีอาหารจะกิน)

เหตุการณ์ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะความคิดในการยึดครอง ควบคุม ใช้ประโยชน์จากประเทศอื่นเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในมันสมองและเป็นนโยบายของ บรรดาผู้ปกครองสหรัฐอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวว่าประเทศอื่นนั้นจะอยู่ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากเพียงใดก็ตาม ถ้าหากความความเจ็บปวดของประเทศอื่นแล้วมีประโยชน์ต่อตนเอง สหรัฐยินดีและพร้อมเสมอและไม่ลังเลในการเข้าไปควบคุมยึดครอง ดังที่เราได้เห็นแล้วในอาเจห์ตอนที่ถูกคลื่นซือนามิถล่ม หรือการยึดครองอิรัก และอัฟกานิสถานที่ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตไปแล้วหลายแสนคน (ลืมบอกว่าเฮติอยู่ห่างจากคิวบาศัตรูตัวฉกาจของสหรัฐเพียงแค่ 90 กิโลเมตร)

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นคือ องค์กรศาสนาคริสต์ของสหรัฐหลายแห่งได้ส่งนักเผยแพร่ศาสนาและไบเบิลดิจิตอล เข้าไปในเฮติ โดยอ้างว่าอาหารจิตใจต้องมาก่อนอาหารร่างกาย (ในเฮติส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์แต่มีบางส่วนที่นับถือลัทธิวูดูและ มีมุสลิมอาศัยอยู่ประมาณ หนึ่ง – สองหมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำที่มีบรรพบุรุษของทาสที่เสปนและฝรั่งเศสนำเข้ามา และมีบางส่วนเป็นอาหรับที่อพยพมาจากโมร็อคโค ซึ่งมุสลิมส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง) นอกจากนี้ยังมีข่าวทางการของเฮติได้จับกุมชาวสหรัฐด้วยข้อหาลักพาตัวเด็กชาว เฮติอายุตั้งแต่ 2 เดือนถึง 12 ขวบ หลายสิบคน โดยพยายามนำเด็กเหล่านั้นออกนอกประเทศทางชายแดนประเทศโดมินิกันเพื่อส่งต่อ ไปยังสหรัฐ

เหตุการณ์เช่นนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติและ ความอดอยากของคน เพื่อใช้ในการยึดครองบังคับจิตใจในเรื่องศาสนา ซึ่งถ้าองค์กรเหล่านี้เป็นองค์กรอิสลามแล้ว รับรองได้เลยว่าต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกกล่าวหาว่าฉวยโอกาสเผยแพร่ลัทธิ การก่อการร้ายอย่างแน่นอน

อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในเฮติ คือ ได้มีนักสังคมสงเคราะห์ชาวสหรัฐที่เข้าไปทำงานช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหวใน เฮติได้เปิดเผยว่า ทหารอิสราเอลที่ถูกส่งไปช่วยเหลือชาวเฮติได้ทำการขโมยอวัยวะร่างกายของ เหยื่อแผ่นดินไหวและลักลอบส่งกลับประเทศ เขาได้กล่าวว่า มีอยู่เสมอๆคนที่มักจะใช้ประโยชน์จากความทุกข์ยากของคนอื่น และอิสราเอลก็เป็นหนึ่งในนั้น เขากล่าวต่อว่า เรื่องทำนองนี้เราเคยเห็นมาก่อนที่แอฟริกาใต้และในปาเลสไตน์ (ทั้งนี้มีรายงานว่าทางการสหรัฐในรัฐนิวเจอร์ซี่ได้จับกุมนักบวชยิวหรือแร บไบด้วยข้อหาค้าอวัยวะมนุษย์จำนวนมาก)

เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งผลงานของสหรัฐและยิวที่กระทำย่ำยีกับ มนุษย์ด้วยกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าในทุกๆวิกฤติ ทุกๆปัญหา ทุกๆความเจ็บปวดของคนอื่นบนโลกใบนี้ย่อมเป็นโอกาศของพ่อลูกคู่นี้เสมอ

เฮติวิปโยค สัญญาณโลกดับ !

คอลัม:
จอกอ
แผ่นดินไหวที่เฮติ

7.3 ริกเตอร์ ทำให้สาธารณรัฐเฮติ ประเทศเล็กๆ บนเกาะฮิสปันโยลา ในทะเลแคริบเบียน มีคนตายพร้อมกันนับแสน และเป็นครั้งสุดท้ายที่ยืนยันว่า โลกที่เกิดจากหมอกควันใบนี้กำลังเข้าสู่ภาวะโลกสลายเข้าไปทุกที

โลกเกิดจากกลุ่มหมอกควัน สภาพของโลกที่จะสิ้นสลายไปจึงจะคล้ายกลุ่มหมอกควัน ที่พราวพุ่งขึ้นมา ระเบิดออกเป็นชั้นๆ ดุจพรายน้ำที่ค่อยๆจางไปเมื่อเรือจมลง เช่นที่เกิดขึ้นใจกลางนครเฮติ เมื่อต้นสัปดาห์นี้

วันนี้ 5 ปีก่อน สึนามิถล่มชายฝั่งตั้งแต่อาเจ๊ะห์ อินโดนีเซีย ถึงอันดามัน กวาดเก็บชีวิตผู้คนไปมากมายมหาศาล

ถัดจากนั้นไม่นานไซโคลนนาร์กิส ก็พัดถล่มนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่คนพม่า ตามด้วยแผ่นดินไหวจนคนเมืองอิงลิ้ว ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ตายเกือบยกเมือง ปรากฎการณ์เหล่านี้อาจได้รับการสันนิษฐานในเชิงวิชาการต่างๆนานา ทั้งภาวะโลกร้อน ธรรมชาติที่เสียสมดุลเพราะน้ำมือมนุษย์ หากแต่ในมุมความเชื่อและศรัทธาของมนุษย์ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจใฝ่รู้เช่นกัน

ในทางวิทยาศาสตร์ เคยมีความเชื่อเรื่องวันโลกแตก หรือวันสิ้นโลก จนมีผู้นำไปสร้างภาพยนตร์หลายเวอร์ชั่น ทั้งน้ำท่วมโลก โลกแตกเป็นเสี่ยงจากดาวหางที่พุ่งเข้าชน สุดแท้แต่จะจินตนาการกันไป แต่แน่นอนที่สุด ก็คือ วันหนึ่งโลกนี้จะต้องแตกสลายลง เหมือนดาวดวงอื่นๆ นับหมื่น นับแสนดวงที่แตกกระจายกลายเป็นฝุ่นละอองเล็กๆ ลอยเคว้งคว้างอยู่ในห้วงอวกาศก่อนหน้านี้ นานนับอสงไขย

สึนามิ พายุไซโคลนนาร์กิส ซึ่งเพี้ยนชื่อมาจากผู้เฝ้าประตูนรกในความเชื่อของอิสลาม แผ่นดินไหวในจีน แผ่นดินไหวในเฮติ และจากนี้ภัยธรรมชาติในหลายรูปแบบก็จะมาเยือนโลกมนุษย์อย่างไม่ขาดสาย นี่เป็นเหตุการณ์ปกติของพลโลกในยุคโลกร้อนหรือ ?

หาไม่ !

"เมื่อดวงอาทิตย์ดับแสงลง เมื่อดวงดาวทั้งหลายตกลงสู่พื้น เมื่อภูเขาทั้งหลายถูกทำให้เคลื่อนไหวไป เมื่ออูฐตัวเมียถูกทอดทิ้ง เมื่อสัตว์ร้ายถูกนำมารวมกัน เมื่อท้องทะเลลุกโชติช่วง เมื่อวิญญาณถูกนำมาใส่ไว้ในเรือนร่าง เมื่อเด็กหญิงที่ถูกฝังทั้งเป็นได้ถูกถาม ด้วยความผิดอันใดเล่าที่เธอถูกฆ่า เมื่อบันทึกถูกกางออก เมื่อท้องฟ้าถูกเปลี่ยนแปลง เมื่อไฟนรกลุกโชติช่วง เมื่อสวรรค์ถูกนำมาให้อยู่ใกล้ ทุกชีวิตได้รู้...."

ความตอนหนึ่งในอัล-กุรอาน วรรคอัตตักวีร อาจอธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกชั่วโมงนี้ได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ก็ตาม

ภัยพิบัติ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะในโลกใบนี้ นี่คือสัญญาณแห่งวันสิ้นโลก !!

หรือจะเอ่ยคำว่ารักในวันวาเลนไทน์

ดอกกุหลาบ เหยื่อแห่งการอุปโลกวาเลนไทน์
คอลัม:
อิบนุอาลีอัลนัดวีย์

อีกไม่ กี่อึดใจแล้วสินะก็จะถึงวันแห่งความรัก วันที่ชายหญิงหนุ่มสาวสมัยใหม่ ต่างแสดงออกซึ่งสิ่งที่ทุกคนเรียกมันว่า “ความรัก” บ้างแสดงออกด้วยกับคำพุดเชยๆประโยคเดิมๆที่พูดกันติดปาก ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เขาใช้กันพร้อมดอกไม้ช่องาม แล้วยื่นให้แล้วพูดคำว่า “ฉันรักเธอนะ” หรืออาจจะออกแนวน่ารักใสๆ คิกขุอาโนเนะ “รักนะเด็กโง่” หรือจะออกแนวอินเทรนด์โดนใจวัยรุ่นสไตล์เกาหลีๆอย่าง “ซารังแฮโย” หรือจะอะไรก็แล้วแต่ที่เหล่าวัยรุ่นยุคใหม่จะสรรหามาเติมแต่งสิ่งที่ตัวเอง เรียกมันว่า “ความรัก”

เพื่อจะแสดงออกให้กับเพศตรงข้ามซึ่งเป็นคู่รักของตนได้ชื่นชมกับความรัก และในที่สุดก็จบลงด้วยกับการร่วมหลับนอนได้เสียกัน ...

นี่นะหรือ? คำว่ารักที่สังคมเขาต่างเชิดชูยกย่องเป็นที่นิยมกัน ประดับประดาด้วยคำพูดที่สวยหรูว่ามันคือวันแห่งความรัก คือวันแห่งการมอบความรักให้แก่กันและกัน แต่สำหรับพวกเราหนุ่มสาวอิสลามมิได้มองสิ่งนั้นเป็นความรักเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่ามันคือตัณหาราคะที่อยู่ในนิยามของคำว่า “รัก” ต่างหาก ! ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาป่าที่ชาญฉลาดที่คอยล่อเหยื่อมาให้ติดกับดักที่วางไว้ เมื่อเหยื่อเผลอหลงมาติดกับดัก หมาป่าตัวนั้นก็กระโดดเข้าตะครุบ แล้วก็ฉีกร่างของเหยื่อกินอย่างหิวโหย พอกินอิ่มหนำสำราญ ก็เหลือเพียงแต่ซากกระดูกที่กองไว้บนลานดินโดยที่มันมิได้หันมาเหลียวแลอีก เลย ...... นี่นะหรือ? คือสิ่งที่พวกเขาเรียกมันว่าความ “รัก” เปล่าเลย! ความรักของหนุ่มสาวในอิสลามมีค่ามากกว่านั้น คือความรักแห่งการให้เกียรติ ปกป้อง ดูแล ให้ความสุข ความรัก ความเมตตาอาทรซึ่งกันและกัน “และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ คือทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้าเอง เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่กับนาง และทรงให้มีความรักใคร่และความเมตตาระหว่างพวกเจ้า แท้จริงในการนี้ แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ” (อัรรูม:21) เป็นเสมือนดั่งหนามของดอกกุหลาบ ที่คอยระวังป้องกันมิให้ใครต่อใครมาหยิบมาจับได้ง่ายๆ ดั่งมีคำกล่าวคำนึงของนักกวีชาวแคชเมียร์ ซึ่งมีนามว่า มุฮัมหมัดอิกบาล ได้กล่าวว่า “หากว่าหนาม (ของดอกกุหลาบ) กลายเป็นไหมอันอ่อนนุ่มละไมแล้วไซร้ ดอกกุหลาบคงกลายเป็นดอกที่ไม่ปลอดภัยและไม่ยืนยงอย่างแน่นอน” และทั้งหมดนี่แหละ คือสิ่งที่เรียกว่าความ “รัก” ในอิสลาม และทั้งหมดนี่จะเกิดขึ้นไม่ได้นอกเสียจากว่าภายหลังสิ้นสุดเสียงแห่งการนิกา ห์ “บาเราะกัลลอฮฺละกะ วะบาเราะกาอะลัยกะ วะญะมะอาบัยนะกุมาฟีลค็อยริ” (รายงานโดยอบูฮุรัยเราะฮ์ บันทึกโดย อะหฺหมัด ติรมีซีย์ และ อิบนุคุซัยมะฮ์ ) ... และสิ้นสุดคำกล่าวอวยพรนี้แหละ ความรักของหนุ่มสาวอิสลามก็ได้เริ่มขึ้น !!!!

(◕‿◕✿)เหล้าปั่น(น้ำเมาอินเทรน)(◕‿◕✿)

"~~เหล้าปั่น (น้ำเมาอินเทรน) ~~"

สังคมทุกวันนี้ ยิ่งมีความเจริญมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสื่อมเสียในสังคมก็มีขึ้นมากเท่านั้น หากแต่ในอดีตรุ่นปู่รุ่นย่า เรื่องของยาเสพติดสิ่งมึนเมา และการพนันแม้จะมีอยู่บ้างตามสถานที่ต่างๆ แต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันนี้ ย่อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะล่าสุด ที่ได้เห็นได้รับรู้กันตามสื่อหนังสือพิมพ์หรือทางทีวี หรือไม่กระทั่งตามสื่ออินเตอร์เน็ท ได้มีการระบาดอย่างนักถึงการที่วัยรุ่นหันมานิยมดื่มเหล้ากันมากขึ้น โดยที่พ่อค้าหัวใสไร้จรรยาบรรณได้หันมาใช้วิธีกอบโกยเงินจากวัยรุ่นโดยใช้เหล้าปั่น ที่กำลัง อินเทรนในหมู่วัยรุ่น จนทั่งสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าวัยรุ่นไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดในโลกเป็นอันดับห้าของโลก ซึ่งการระบาดของมันได้กระจายไปอยู่ตามหน้าโรงเรียนหรือหน้ามหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งตามตลาดที่เดินจับจ่ายซื้อของในเวลากลางคืน สิ่งต่างๆเหล่านี้บ่งชี้ชัดถึงความเสื่อมโทรมของสังคมในบ้านเรา แต่กระนั้นก็ตามหากสังคมมุสลิมเราได้นำอิสลามมาใช้ในวิถีชีวิตก็จะไม่พบปัญหาต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งในเรื่องนี้อัลกรุอานได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว อัลลอฮฺตะอาลากล่าวว่า “โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัน และการเสี่ยงติ้ว นั้น เป็นสิ่งโสมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ” “ที่จริงชัยฏอนนั้นเพียงเพื่อต้องการที่จะให้เกิดการเป็นศัตรูกันและการเกลียดชังกันระหว่างพวกเจ้าในสุราและการพนันเท่านั้น และมันจะหันเหพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ และการละหมาด และพวกเจ้าจะยุติไหม” (อายะฮ์ 90- 91, อัล-มาอิดะฮ์)

ใน องค์การของอัลลอฮ์สองอายะฮ์ข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงจุดยืนของอิส ลามที่มีต่อสิ่งเสพติดโดยเฉพาะเหล้าและการพนันไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหนหรือ จะมีชื่อเก๋ไก๋อินเทรนถูกใจวัยรุ่นยุคใหม่ สักขนาดไหนก็ตามที ซึ่งในมุมมองของอิสลามแล้วเป็นสิ่งที่ต้องห้ามอย่างชัดเจน และหากเราพิจารณาถึงสองอายะฮ์ดังกล่าว เราก็จะรับรู้ได้เลยว่า อัลลอฮุตะอาลาห้ามในเรื่องของเหล้าไปพร้อมๆกับการเสี่ยงติ้วเสี่ยงทาย และแท่นหินสำหรับบูชายัน ซึ่งผู้คนในสมัยญะฮีลิยะฮ์ได้ใช้มันเพื่อเป็นการภักดีอื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งในเรื่องนี่มีหะดิษหนึ่ง ได้กล่าว่า “ผู้ที่ดื่มเหล้าหากเขาเสียชีวิต การตายของเขาเฉกเช่นผู้ที่บูชาเจว็ด” (บันทึกโดยอีหม่าม อะฮฺหมัด ลำดับที่ 677’ หะดิษศอเฮี๊ยะ เชคอัลบานีย์) ... อีกทั้งยังไม่พออัลกรุอานยังเรียกโดยใช้คำว่า “สิ่งโสมม” ซึ่งคำนี้อัลกรุอานมิได้ใช้คำใดนอกจากจะใช้เรียกชัยฎอนและหมูว่ามันเป็นสิ่งโสมม ซึ่งยังไม่พอแค่นี้อัลกรุอานยังใช้คำว่า “การงานของชัยฎอน” ซึ่งเป็นการงานที่ชั่วช้าและนำพาไปสู่ความหายนะในวันกิยามัตทั้งสิ้น ตลอดจนท้ายสุดอัลกุรอานได้สั่งให้ออกห่างจากสิ่งดังกล่าว ซึ่งการที่เราออกห่างจากสิ่งดังกล่าวมันคือสาเหตุแห่งชัยชนะและความสำเร็จ

และในสองอายะฮ์ดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานชี้ชัดอย่างชัดเจนต่อจุดยืนและมุมมองของอิสลามในการห้ามสิ่งเสพติดมึนเมาทุกชนิด โดยเฉพาะเหล้าปั่นซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ โดยที่ในท้ายอายะฮ์พระองค์อัลลอฮฺได้กล่าว่า “แล้วพวกเจ้าหล่ะ จะยุติไหม? แล้วเราหล่ะในเมื่ออัลลอฮฺได้ถามเราเช่นนี้ เราในฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ จะเลิกพฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ หรือยังจะคงดึงดันปฎิบัติตามแบบอย่างของคนที่ไม่ใช่มุสลิม หรือไม่เช่นนั้นแล้วก็จงเตรียมตัวตอบคำถามกับอัลลอฮฺในวันกิยามะฮ์ว่าตอนอยู่บนโลกดุนยา ได้ตอบรับปฎิบัติตามคำกล่าวของอัลลอฮฺตะอาลาในเรื่องนี้หรือเปล่า ……..

กระเทยแปรงเพศ ของปากีสถานวิกฤตแม้ว่าไม่ใช่ กระเทยที่สวยที่สุดในโลก พวกเค้ากำลังลำบาก

เมื่อวันพุธ (23/12) ศาลสูงของปากีสถานได้ออกคำสั่งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินขั้นตอนในการระบุสถานภาพของบรรดาชายแปลงเพศให้ถูกต้อง ทั้งนี้นักกฎหมายกล่าวว่าเพื่อเป็นการรักษาสิทธิของคนกลุ่มนี้

งานเข้าบรรดา กระเทยสวยๆ กระเทยแปลงเพศ ของปากีสถาน
กลุ่มกะเทยชาวปากี หรือที่เรียกกันว่า Hijra

โดย บุคคลกลุ่มนี้ทั้งที่เป็นกระเทยแท้ และกระเทยโดยการแปลงเพศ มีคำศัพท์เรียกขานกันว่า “hijra” และไม่ค่อยได้รับการยอมรับในสังคมปากีสถาน จึงต้องอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มในสลัม และหาเลี้ยงชีวิตด้วยการขอทาน หรือรับจ้างเต้นระบำตามงานต่างๆ และหลายคนมีอาชีพขายบริการทางเพศ

ผู้ พิพากษาอิฟติก้าร์ เชาดรีย์ ได้ออกคำสั่งให้รัฐบาลจัดหาบัตรประจำตัวพิเศษที่ระบุเพศที่ชัดแจน และจัดการดูแลไม่ให้คนกลุ่มนี้ถูกทารุณละเมิด โดยทนายความของกลุ่ม มุฮัมมัด อัสลัม คากี กล่าวว่า ศาลได้แนะนำให้ให้มีการจัดตั้งหน่วยพิเศษในฝ่ายทะเบียน สำหรับดูแลคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้ได้รับสิทธิที่พึงมีพึงได้ อัลมาส บ๊อบบี้ ผู้นำกลุ่ม hijra กล่าวว่า นับเป็นนิมิตหมายอันดีหลังจากรอมาเป็นเวลา 62 ปี ที่จะได้รับการยอมรับจากสังคม ว่าพวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆ

ใน ประเทศปากีสถาน คนกลุ่มนี้มักไม่ได้รับการต้อนรับให้เข้าเรียนในโรงเรียนร่วมกับคนอื่น หรือแม้แต่จะเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือไปเช่าบ้าน และซื้อที่ดิน รวมทั้งครอบครัวก็มักจะปฏิเสธสิทธิในการรับมรดก ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร นอกจากนั้น ยังมีความกลัวอย่างไม่มีเหตุผลว่า คนกลุ่มนี้มีความสามารถในการสาปแช่งคนที่ไม่พอใจ และมีความคิดว่าพวกกะเทยเป็นมนุษย์ที่ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง

เมื่อ เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ศาลสั่งให้มีการสำรวจสำมะโนประชากรกระเทย ซึ่งมีตัวเลขที่ไม่ยืนยันว่ามีอยู่ประมาณ 300,000 คน - muslimthai.com

รักร่วมเพศ ร่วมเพศไม่แต่ง อาเจะเอาจริง กางเกงยีน รัดรูป กางเกงขาสั้นผู้ชาย มีโทษเจ็บปวด

บันดาอาเจะ, อินโดนีเซีย – ตำรวจศาสนาในเขตปกครองตนเองอาเจะ เริ่มเข้มงวดกับการแต่งกายของสตรีมากขึ้น โดยผู้หญิงหลายคนถูกเรียกตักเตือน เพราะสวมกางเกงยีน หรือเสื้อที่เข้ารูปเกินไป รวมทั้งผู้ชายที่สวมกางเกงขาสั้น

ฮาลี มาร์ซูกี ผู้บังคับการตำรวจชาริอะฮฺ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักชาริอะฮฺ ซึ่งฝ่ายปกครองอาเจะได้ประกาศใช้ ผู้หญิงจะต้องปกปิดร่างกายให้เห็นได้แค่ใบหน้า และฝ่ามือ

อาเจ๊ะซึ่งอยู่ปลายสุดของเกาะสุมาตรา ห่างจากจาการ์ต้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 1,000 กิโลเมตร (620 ไมล์) เป็นหนึ่งในเขตที่ปกครองด้วยความเคร่งครัดในศาสนา มากกว่าในอีกหลายเขตของอินโดนีเซีย ซึ่งส่วนมากประชาชนเป็นกลุ่มมุสลิมสายกลาง

กองตำรวจชาริอะฮฺของอาเจ๊ะมีเจ้าหน้าที่กว่า 1,500 คน เป็นผู้หญิง 60 คน ซึ่งประชาชนไม่รู้สึกกังวลกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มากนัก เพราะไม่มีการพกอาวุธ และแสดงความเป็นมิตรโดยเพียงแต่ตักเตือนในสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง

ร่วมเพศ

อิสกันเดอร์ หัวหน้าตำรวจชาริอะฮฺของอาเจะอธิบายว่า การลงโทษไม่ใช่เป้าหมาย แต่ต้องชี้แจงถึงความผิด และอธิบายให้เข้าใจ เขามีอำนาจในการสั่งโบยผู้กระทำผิด แต่พบว่าไม่จำเป็นต้องสั่งโบยผู้คน และนับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่ง 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ถูกสั่งโบยไม่ถึง 12 คน ส่วนมากที่โดนลงโทษเป็นเพราะดื่มสุรา เล่นการพนัน และมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้แต่งงาน

เท่าที่ผ่านมาตำรวจชาริอะฮฺได้รับความร่วมมือจากประชาชน โดยบางครั้งได้รับแจ้งให้ไปจับผู้ที่กระทำผิด หน้าที่ของตำรวจชาริอะฮฺคือการตระเวนในพื้นที่บ่อยๆ ซึ่งจะทำให้ประชาชนระมัดระวังตัวไม่ทำผิด โดยเฉพาะหนุ่ม-สาวที่ควงกัน หรืออยู่ในสถานที่ไม่เหมาะสมโดยยังไม่ได้แต่งงานถูกต้อง

อย่างไรก็ดี ยังไม่แน่ว่าสถานการณ์ที่ผ่อนคลายนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ หากกฎหมายที่ลงโทษผู้คบชู้ด้วยการขว้างด้วยก้อนหิน และเพศที่ 3 ต้องถูกลงโทษโบย ผ่านการอนุมัติออกมาบังคับใช้ โดยทางฝ่ายกฎหมายของอาเจะเสนอเข้าไปเมื่อวันที่ 14 กันยายน และขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาในรัฐสภาของรัฐบาลใหม่

สมาชิกสภานิติบัญญัติในจาการ์ต้าจำนวนมาก แสดงความไม่เห็นด้วยกับการลงโทษเช่นนี้ คัยรานี อาริฟีน นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีในอาเจะกล่าวว่า ต้องใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาอย่างมาก ในสถานการณ์ที่กำลังเผชิญกับการกดดันในเรื่องความรุนแรง และหากกฎหมายผ่านนี้ออกมาบังคับใช้ ไม่แน่ว่าอาเจะอาจจะมีสภาพเหมือนปากีสถานสักวันหนึ่งในอนาคต- www.muslimthai.com

นางงามอินโดนีเซียฉาวโฉ่อีกครั้ง

กองประกวดมิสเวิลด์ ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นที่นครโยฮันเนสเบิร์กในประเทศแอฟริกาใต้ เป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องกัน ได้ออกแถลงการณ์ว่า ขณะที่มีความตื่นเต้นของสาวๆ ที่เป็นตัวแทนจากประเทศต่างๆ เนื่องจากการมาถึงของอดีตมิสเวิลด์ประจำปีที่ผ่านมา และแขกรับเชิญที่มีชื่อเสียงหลายคน เรื่องที่ทำให้เกิดความแปดเปื้อน ในชื่อเสียงของผู้เข้าประกวดจากประเทศอินโดนีเซียก็ปรากฏขึ้นพร้อมๆ กัน

โดยหนังสือพิมพ์ เดอะ เมล์ และการ์เดี้ยน รายงานว่า คา เรนิน่า ซันนี่ ฮาลิม นางงามจากประเทศอินโดนีเซีย เคยมีการเกี่ยวพันกับองค์กรแฟมิลี่ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นกลุ่มของโบสถ์คริสต์ที่เคยมีข่าวพัวพันกับการทำร้ายเด็ก และการล่าวงละเมิดทางเพศ

ทางบริษัทที่จัดการประกวดกล่าวว่า ได้ติดต่อทนายความในแอฟริกาใต้ ให้ดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องบริษัท และผู้เข้าประกวดอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเป็นการทำให้ชื่อเสียงของนางงามต้องเสียหาย โดยไม่มีข้อพิสูจน์ที่มีเหตุผล

ขณะนี้ทางบริษัทฯ กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะให้ลบข้อความออกจากเว็ปไซต์ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ประสบผล
จู เลีย มอร์ลี่ เจ้าของบริษัทจัดประกวดกล่าวว่า ส่วนหนึ่งในการพิจารณารับสมัครผู้เข้าประกวดในระดับประเทศ คือการพิจารณาว่าผู้สมัครมีประวัติในการร่วมกิจกรรมการกุศล หรือร่วมงานอาสาสมัครต่างๆ หรือไม่

ประเทศที่มีนางงามชนะการประกวดมิสเวิลด์มากที่สุด คือ เวเนซุเอลา และอินเดีย โดยทั้ง 2 ประเทศมีมิสเวิลด์ประเทศละ 5 คน
เมือง โฮฮันเนสเบิร์กทุ่มทุนจัดงานประกวดฟุ่มเฟือยนี้ถึง 12 ล้านตอลล่าร์ และถูกก่นด่าจากประชาชนทั่วไป เนื่องจากเห็นว่า สภาเมืองน่าจะนำเงินไปทำประโยชน์อย่างอื่น เพื่อความอยู่ดีกินดีของคนจนในท้องถิ่นมากกว่า - www.muslimthai.com

กองทหารสหรัฐตกเป็นจำเลยสังคม กรณีจารึกหมายเลขโองการไบเบิ้ลบนกล้องติดปืน

ไคโร – ชาวอเมริกันกำลังวิพากษ์วิจารณ์กองทหารสหรัฐ กรณีนำปืนที่มีจารึกโองการคัมภีร์ใบเบิ้ลจำนวนมาก ออกมาให้ทหารที่ไปรบในอิรัก และอัฟกานิสถานใช้ ยิ่งกว่านั้นยังอาจเป็นการฝ่าฝืนกฎของกองทัพ ที่ไม่อนุญาตให้ทหารเผยแพร่ศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสนำเรื่องนี้ไปเป็นประโยชน์


กองทหารสหรัฐตกเป็นจำเลยสังคม กรณีจารึกหมายเลขโองการไบเบิ้ลบนกล้องติดปืน


หลัง จากสำนักข่าว เอบีซี.เปิดเผยข่าวนี้เมื่อวันจันทร์ (18/1) ว่าปืนไรเฟิ่ลติดกล้องเล็งเป้าจำนวนหลายพันชุด ซึ่งทหารนำไปใช้ในอิรัก และอัฟกานิสถาน มีการจารึกหมายเลขโองการในใบเบิ้ลบนกล้อง ซึ่งบริษัททริจิคอน ในมิชิแกน ที่ผลิตกล้องดังกล่าว ได้ออกมายอมรับและว่าได้จารึกหมายเลขโองการไบเบิ้ลมาหลายปีแล้ว และทางกระทรวงป้องกันก็มีเอกสารที่ยืนยันการจ้างบริษัทดังกล่าวผลิตกล้อง เล็งเป้าติดปืนไรเฟิ่ล ด้วยจำนวนเงินหลายล้านดอลล่าร์มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฉพาะในปี 2005 ปีเดียวบริษัทรับงานมูลค่า 63 ล้านดอลล่าร์ เพื่อผลิตกล้อง 104,000 ตัวให้แก่หน่วยทหารนาวิกโยธิน

คาร์ล เลวิน วุฒิสมาชิกซึ่งเป็นกรรมาธิการด้านจัดหาอาวุธ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วแย่ลงไปอีก เนื่องจากไม่ควรระบุถึงการสนับสนุนศาสนาใดๆ บนทรัพย์สินของรัฐบาล

แม้ แต่ทหารกลุ่มที่ไม่สังกัดศาสนายังแสดงความไม่พอใจ เพราะเห็นว่าเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ และกฎระเบียบของกองทัพ เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของทหารไม่ควรเกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ไม่ว่าศาสนา ใด

เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพออกมาปกป้องเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า ตราบใดที่ทหารยังต้องใช้อุปกรณ์ในการเล็งเป้า ก็ยังต้องให้กล้องดังกล่าวคงอยู่ในกองทัพต่อไป

ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมา เตือนว่า ฝ่ายตรงข้ามอาจนำเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ โดยโยงใยสงครามในอิรัก และอัฟกานิสถาน เป็นครูเสดยุคสุดท้ายซึ่งมีอเมริกาเป็นผู้นำทัพ ซึ่งจะทำให้ประชาชนธรรมดาหันมาต่อต้านสหรัฐ และกลับไปเข้าข้างผู้ก่อการร้าย

กอง ทัพสหรัฐยังไม่สามารถตอบคำถามกรณีอื้อฉาว เกี่ยวกับการพยายามเผยแพร่ศาสนา โดยก่อนหน้านี้สถานีโทรทัศน์อัล-จาซีร่า เผยแพร่คลิปภาพยนตร์เป็นภาพการเทศนาธรรมของคริสตศาสนาในฐานทัพอากาศในบาแกรม ซึ่งในสถานที่ดังกล่าวมีคัมภีร์ไบเบิ้ลซึ่งพิมพ์เป็นภาษาท้องถิ่นอัฟกันกอง สุมอยู่ - มุสลิมไทยดอทคอม

ที่สุดในโลก เกิดขึ้นในทะเลทราย อาหรับ

มุสลิมไทยคอมคอม

อา คารเบิร์จ คาลิฟา เป็นเจ้าของสถิติ “ที่สุด” ในหลายๆ ด้าน อาคารซึ่งมีกว่า 160 ชั้นนี้ใช้เวลาสร้าง 5 ปี ด้วยงบประมาณ 1.5 พันล้านดอลล่าร์ มีพื้นที่ให้จับจอง 6 ล้านตารางฟุต ซึ่งเจ้าของกว่า 12,000 รายได้จองพื้นที่ไปแล้ว


ตึกที่สูงที่สุดในโลก

อาคารนี้มีลิฟต์ทั้งหมด 54 ตัว ซึ่งมีความเร็วถึง 40 ไมล์ต่อชั่วโมง

1. อาคารนี้เป็นที่ตั้งของมัสยิดที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งอยู่บนชั้นที่ 158

2. สระว่ายน้ำที่สูงที่สุดในโลกอยู่บนชั้นที่ 76

3. ระเบียงชมวิวที่สูงที่สุดในโลกอยู่บนชั้นที่ 124

4. ยังมีโรงแรมหรูแห่งแรกของดีไซเนอร์อาร์มานี่ รวมทั้งเป็นอาคารที่มีโครงสร้างแนวตั้งอิสระที่สูงที่สุดในโลก (ในอดีตอาคารซีเอ็น ในเมืองโตรอนโต้ครองตำแหน่ง) ลิฟต์ที่มีเส้นทางยาวที่สุด

5. อาคารที่มีชั้นมากที่สุดในโลก


อาคารนี้สูงจนสามารถมองเห็นได้ในระยะ 100 กิโลเมตร (63 ไมล์) บนระนาบพื้นดิน ส่วนชาวเรือสามารถมองเห็นอาคารนี้ในระยะ 50 ไมล์จากกลางมหาสมุทร อากาศบนยอดตึกต่ำกว่าด้านล่าง ประมาณ 8 องศาเซลเซียส


อาคารคิงด้อม ทาวเว่อร์ ในกรุงริยาดฮฺ

สถิติเดิมของมัสยิดที่สูงที่สุดในโลก อยู่ในอาคารคิงด้อม ทาวเว่อร์ ในกรุงริยาดฮฺ โดยมัสยิดนี้มีชื่อว่า มัสยิดพริ้นซ์ อับดุลเลาะฮฺ ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 180 เมตร เจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลัล เจ้าชายมหาเศรษฐีแห่งซาอุดี้ เป็นผู้บริจาคสร้างขึ้น มัสยิดที่งดงามนี้ออกแบบเป็นรูปโดม มีขนาดพื้นที่ 500 ตารางเมตร และมีห้องนมาซของผู้หญิงแยกต่างหาก มัสยิดเป็นส่วนหนึ่งของภัตตาคาร Spazio ซึ่งอยู่บนชั้นที่ 77 ของอาคารคิงด้อม ทาวเว่อร์ - www.muslimthai.com

กลุ่มเจ้าสัวนํ้ามันสนใจซื้อผีแดงเทงบล่อ6หมื่นล.

เกลเซอร์หวังขายผีให้เจ้าสัวตอ.กลาง

ผี แดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจมีการเปลี่ยนมือเจ้าของ เมื่อมีรายงานจาก นสพ.ซันเดย์ เอ็กซ์เพรสส์ เผยว่า เร้ด เดวิลส์ กำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มทุนตะวันออกกลางที่อาจยื่นข้อเสนอเทคโอเวอร์ เป็นจำนวน 1.2 พันล้านปอนด์ (ราว 66,000 ล้านบาท)

ข่าว ระบุว่าเหตุที่แท้จริงที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยกขบวนไปซ้อมที่กาตาร์เมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องมาจากคุยกับกลุ่มทุนตะวันออกกลางหรือหาคนที่สนใจซื้อทีม ตระกูลเกลเซอร์ทำให้ทีมมีหนี้สินถึง 700 ล้านปอนด์ นับแต่เทคโอเวอร์เมื่อปี 2005 และรู้ว่าหากขายไปตอนนี้ก็ยังทำกำไรมหาศาล ส่วน กาตาร์ หวังว่าการเป็นเจ้าของทีมยักษ์ใหญ่อาจทำให้พวกเขามีโอกาสขึ้นในการเสนอตัว เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022

เตรียมขึ้นราคาตั๋วหาเงินใช้หนี้

ขณะ ที่ นสพ. นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ เผยว่า ตระกูลเกลเซอร์วางแผนขึ้นค่าตั๋วที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดเพิ่มอีก 11 เปอร์เซ็นต์ในฤดูกาลหน้า หวังได้เงินมากขึ้นมาลดหนี้สโมสร โดยคำนวนแล้วว่าจะเพิ่มรายได้ให้ถึงนัดละ 2 ล้านปอนด์ (ราว 110 ล้านบาท)

สำหรับ ตั๋วปีของที่นั่ง แฟมิลี สแตนด์ เพิ่มขึ้นจาก 646 ปอนด์ (ราว 35,534 บาท) เป็น 722 ปอนด์ (ราว 39,710 บาท) คิดเป็น 11 เปอร์เซนต์ส่วนโซน นอร์ธ สแตนด์ จะเพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซนต์จาก 659 ปอนด์ (ราว 36,245 บาท) เป็น 690 ปอนด์ (ราว 37,950 บาท)

เอเย่นต์ยันแมนฯยูฯทาบเป๊ปแล้ว

โฆ เซ มาเรีย โอโรไบต์ เย่นต์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอ นายใหญ่บาร์เซโลนา ยืนยันว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ได้จัดการทาบทาม เป๊ป เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่แล้ว โดยต้องการให้ เป๊ป มาทำหน้าที่ผู้ช่วย เฟอร์กี ฤดูกาลหน้า ก่อนขึ้นชั้นคุมเดี่ยวเต็มตัวในฤดูกาลถัดไปจากนั้น

โอโรไบต์ กล่าวว่า สโมสรติดต่อผมมา แต่ยังไม่มีการเตรตาเรื่องเงินหรือแผนโครงงาน เรื่องอะไรแบบนั้นขึ้นอยู่กับ เป๊ป

โบสถ์คริสต์มาเลเซียถูกโจมตีอีก

สถานการณ์ขัดแย้งระหว่างศาสนาในมาเลเซียยังระอุ จากกรณี "อัลลอฮ์" โบสถ์คริสต์ถูกโจมตีเพิ่มอีก 3 แห่งในวันอาทิตย์ รวมถึงโรงเรียนคอนแวนต์ ขณะชาวคริสต์แห่เข้าโบสถ์ฟังเทศน์ สวดภาวนาเพื่อสันติสุข

โบสถ์คริสตจักรอีก 2 หลังและโรงเรียนคอนแวนต์ของคาทอลิกแห่งหนึ่งตกเป็นเป้าหมายโจมตีล่าสุดเมื่อ เช้ามืดวันที่ 10 ม.ค. แต่ไม่มีใครได้รับอันตราย ตำรวจรัฐเประเผยว่า โบสถ์ออลเซนต์สของนิกายแองกลิกันซึ่งมีความเก่าแก่ที่สุดในประเทศ ที่เมืองไทปิงซึ่งอยู่ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปทางทิศเหนือราว 300 กม. ถูกปาด้วยระเบิดขวด ทำให้มีรอยไหม้ที่กำแพงโบสถ์ แต่ระเบิดขวดที่ปาใส่คอนแวนต์ในเมืองเดียวกันไม่แตกระเบิดจึงไม่มีความเสีย หาย

ตำรวจยังพบขวดน้ำมันก๊าดที่ไส้ชนวนยังไม่ถูกจุด ภายในพื้นที่ของโบสถ์เซนต์หลุยส์ของคาทอลิกในเมืองเดียวกันเมื่อช่วงเช้า ก่อนเริ่มพิธีสวดวันอาทิตย์ด้วย นอกจากนี้ที่รัฐมะละกาทางภาคใต้ พบว่ามีมือดีนำสีดำมาป้ายที่กำแพงด้านนอกของโบสถ์แบปติสต์

ในวัน ศุกร์และวันเสาร์ มีโบสถ์คริสต์ถูกโจมตีแล้ว 4 แห่ง ทั้งหมดยกเว้นโบสถ์เมโทรเทเบอร์นาเคิลของนิกายเพนติคอสติสต์ชานกรุง ไม่ได้รับความเสียหายและสามารถจัดพิธีกรรมได้ตามปกติในวันอาทิตย์ ส่วนคริสต์ศาสนิกชนกว่า 1,000 คนที่เป็นสมาชิกโบสถ์เมโทรเทเบอร์นาเคิลซึ่งชั้นล่างของโบสถ์ถูกไฟไหม้ ได้ย้ายไปทำพิธีที่ห้องประชุมของพรรคร่วมรัฐบาลแทน

โบสถ์ต่างๆ ล้วนเนืองแน่นด้วยคริสตชนที่มาฟังคำเทศนาเกี่ยวกับการหยิบยื่นมิตรภาพให้กับ ทุกผู้คนรวมถึงชาวมุสลิม และการรักษาสันติภาพในประเทศที่หลากหลายศาสนาแห่งนี้ ที่โบสถ์อัสสัมชัญในกรุงกัวลาลัมเปอร์ซึ่งเป็นโบสถ์ 1 ใน 4 แห่งที่ถูกคนร้ายลอบโจมตี ชาวคริสต์ราว 1,000 คนมาฟังคำเทศของบาทหลวงฟิลิป มูธู ซึ่งได้วิงวอนให้ทุกคนอดทนอดกลั้นและอย่าโทษผู้ใด กลุ่มใดหรือศาสนาใด

สาธุ คุณเฮอร์มัน ชาสตรี เลขาธิการสภาคริสตจักรแห่งมาเลเซีย กล่าวว่า การโจมตีเหล่านี้ไม่อาจข่มขู่ชาวคริสต์ได้ เหตุการณ์นี้เป็นฝีมือของพวกกลุ่มสุดโต่งซึ่งไม่ได้สะท้อนความคิดของชาว มุสลิมส่วนใหญ่

คำเทศนาในโบสถ์คริสต์ส่วนใหญ่ในมาเลเซียมักใช้ภาษา อังกฤษอยู่แล้ว มีบ้างที่ใช้ภาษาจีนและทมิฬ แต่ไม่มีการใช้คำอัลลอฮ์ เว้นแต่พิธีสวดภาษามาเลย์ของชนพื้นเมืองในรัฐซาบาห์และซาราวักเท่านั้นที่ ใช้คำนี้เช่นที่ใช้มายาวนานหลายทศวรรษ

ความตึงเครียดข้ามศาสนากลับมา คุกรุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ภายหลังศาลอุทธรณ์ตัดสินเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. อนุญาตให้หนังสือพิมพ์เฮรัลด์ของคริสตจักรคาทอลิกใช้คำ "อัลลอฮ์" สื่อความแทน "พระเจ้า" ในการตีพิมพ์ฉบับภาษามาเลย์ได้ รัฐบาลมาเลเซียต่อสู้คดีความนี้กับเฮอรัลด์มานานหลายปีและแย้งว่าคำอัลลอฮ์ ควรสงวนไว้สำหรับชาวมุสลิมเท่านั้น รัฐบาลได้ยื่นอุทธรณ์ในวันพุธ แต่ศาลระงับการตัดสินหลังจากรัฐบาลเตือนว่าอาจเกิดความขัดแย้งข้ามเชื้อชาติ ศาสนาได้

เฮรัลด์ให้เหตุผลว่าที่ต้องใช้คำ "อัลลอฮ์" เรียกขานพระผู้เป็นเจ้าของคริสต์ศาสนาก็เพื่อสื่อสารกับชาวคริสต์บนเกาะ บอร์เนียวที่พูดภาษามาเลย์ นอกจากนี้ชาติมุสลิมหลายชาติที่พูดภาษาอาหรับก็ยอมให้ชาวคริสต์ที่เป็น ชนกลุ่มน้อยใช้คำที่มีรากศัพท์จากภาษาอาหรับนี้ได้อย่างเสรี เช่น ที่อียิปต์และซีเรีย

ชาวมุสลิมมาเลเซียบางรายโต้แย้งว่าหนังสือพิมพ์ ฉบับนี้ต้องการสร้างความ สับสนและชักจูงชาวมุสลิมละทิ้งศาสนาในการล่าชื่อทางเฟซบุ๊คเพื่อคัดค้านชาว คริสต์ใช้คำอัลลอฮ์นับถึงช่วงกลางวันวันอาทิตย์นั้นมีมากถึง 178,392 รายแล้ว

ประเด็นเรื่องศาสนาและภาษาเป็นเรื่องอ่อนไหวในมาเลเซียซึ่ง เคยเกิดจลาจลนอง เลือดข้ามเชื้อชาติมาแล้วเมื่อปี 2512 หลายปีมานี้เกิดความแย้งทางศาสนาถี่ขึ้นสร้างความระหองระแหงระหว่างชนเชื้อ สายมาเลย์กับชนเชื้อสายจีนและอินเดียที่กลัวว่ามาเลเซียกำลังถูกทำให้เป็น รัฐอิสลาม.

ไบเบิ้ลแบบใหม่ระบาดทั่วมาเลย์ ใช้พระนามอัลลอฮฺแทนคำพระเจ้า รัฐบาลสั่งเก็บด่วน

สำนักข่าวมุสลิมไทย - ไบเบิ้ลแบบใหม่ระบาดทั่วมาเลย์ ใช้พระนามอัลลอฮฺแทนคำพระเจ้า รัฐบาลสั่งเก็บด่วน

มุสลิม ไทยดอทคอม - ทางการมาเลเซียปฏิเสธไม่อนุญาตให้เผยแพร่ไบเบิ้ลจำนวน 10,000 เล่มที่ยึดไว้ เนื่องจากไบเบิ้ลดังกล่าวใช้พระนาม “อัลเลาะฮฺ” แทนคำว่า “พระเจ้า – God” ซึ่งอาจจะทำให้มุสลิมสับสน ฝ่ายโบสถ์โรมัน แคธอลิคกล่าวว่าจะนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาล

ความขัด แย้งทางศาสนาเริ่มปะทุขึ้นในมาเลเซีย ซึ่ง 2 ใน 3 ของประชากรเป็นมุสลิม แต่ศาสนาอื่นๆ กล่าวหาว่าถูกละเมิดสิทธิในการนับถือศาสนาอยู่เนืองๆ


ภาพจาก google ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อข่าว

ก่อนหน้านี้ทางการมาเลเซียเคยทำเช่นนี้มาครั้งหนึ่งในเดือนมีนาคม โดยสั่งเก็บไบเบิ้ลที่นำเข้าจากประเทศอินโดนีเซียจำนวน 5,000 เล่ม

เจ้า หน้าที่ของสหพันธ์ชาวคริสต์ในมาเลเซีย ได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า คำว่า “Allah” มีรากศัพท์เป็นภาษาอาหรับ และในมาเลเซียเองก็ใช้คำนี้เมื่อต้องการแสดงความหมายถึง “พระเจ้า” รวมทั้งชาวอาหรับที่เป็นคริสเตียนก็ใช้คำนี้เมื่อกล่าวถึง “พระเจ้า” ตั้งแต่สมัยก่อนอิสลาม

เขากล่าวว่า หากทางการมาเลเซียยังทำเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าการรับรองสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศมาเลเซียคงไม่มีความหมาย - muslimthai.com