03:55
By Fik_manU
หลายๆ คนคงได้ติดตามข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศเฮติซึ่งตัวเลขผู้เสียชีวิต อย่างเป็นทางการตอนนี้อยู่ที่ 120,000 คน ไม่รู้ว่าขณะที่ท่านกำลังอ่านบทความนี้ ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะถึง 2 แสนคนตามที่มีการคาดการกันไว้หรือไม่? ภาพผู้เสียชีวิต ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้ไม่มีบ้านจะอยู่ ภาพการแย่งอาหาร ภาพการปล้นสะดม ซากปรักหักพังของบ้านเรือน ภาพสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลาย เหล่านี้ผู้อ่านคงได้เห็นตามสื่อต่างๆมากมายนับตั้งแต่วันเกิดเหตุ
สิ่งที่ผู้เขียนจะนำเสนอในวันนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวเช่นเดียวกัน แต่เป็นเหตุการณ์ที่สื่อไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะถูกครอบงำ เพราะกลัว เพราะต้องการปกป้องพวกเดียวกันหรือเพราะอะไรก็ตาม แต่เหตุการณ์เหล่านี้ควรได้รับการเปิดเผย เหตุการณ์แรกคือ เหตุการณ์ฝรั่งเศสได้กล่าวหาสหรัฐอเมริกาว่าเข้ามายึดครองเฮติ เนื่องจากภายหลังแผ่นดินไหวไม่กี่วัน สหรัฐก็ได้ส่งทหารเข้าไปควบคุมสนามบินนานาชาติในกรุงปอโตแปรงส์เพื่อให้ เครื่องบินขนทหารและเครื่องบินรบของอเมริกาได้ลงจอดเพื่อนำทหารหลายหมื่นคน พร้อมอาวุธครบมือเข้ามาในเมืองหลวง แม้แต่สหประชาชาติก็ได้วิจารณ์การกระทำดังกล่าวของสหรัฐโดยกล่าวว่า กองทัพสหรัฐเป็นอุปสรรคต่อความช่วยเหลือของนานาชาติ เนื่องจากได้ใช้สนามบินที่มีอยู่แห่งเดียวในการขนอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร (คงจะไปรบกับเหยื่อแผ่นดินไหวที่ไม่มีอาหารจะกิน)
เหตุการณ์ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะความคิดในการยึดครอง ควบคุม ใช้ประโยชน์จากประเทศอื่นเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในมันสมองและเป็นนโยบายของ บรรดาผู้ปกครองสหรัฐอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวว่าประเทศอื่นนั้นจะอยู่ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากเพียงใดก็ตาม ถ้าหากความความเจ็บปวดของประเทศอื่นแล้วมีประโยชน์ต่อตนเอง สหรัฐยินดีและพร้อมเสมอและไม่ลังเลในการเข้าไปควบคุมยึดครอง ดังที่เราได้เห็นแล้วในอาเจห์ตอนที่ถูกคลื่นซือนามิถล่ม หรือการยึดครองอิรัก และอัฟกานิสถานที่ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตไปแล้วหลายแสนคน (ลืมบอกว่าเฮติอยู่ห่างจากคิวบาศัตรูตัวฉกาจของสหรัฐเพียงแค่ 90 กิโลเมตร)
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นคือ องค์กรศาสนาคริสต์ของสหรัฐหลายแห่งได้ส่งนักเผยแพร่ศาสนาและไบเบิลดิจิตอล เข้าไปในเฮติ โดยอ้างว่าอาหารจิตใจต้องมาก่อนอาหารร่างกาย (ในเฮติส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์แต่มีบางส่วนที่นับถือลัทธิวูดูและ มีมุสลิมอาศัยอยู่ประมาณ หนึ่ง – สองหมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำที่มีบรรพบุรุษของทาสที่เสปนและฝรั่งเศสนำเข้ามา และมีบางส่วนเป็นอาหรับที่อพยพมาจากโมร็อคโค ซึ่งมุสลิมส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง) นอกจากนี้ยังมีข่าวทางการของเฮติได้จับกุมชาวสหรัฐด้วยข้อหาลักพาตัวเด็กชาว เฮติอายุตั้งแต่ 2 เดือนถึง 12 ขวบ หลายสิบคน โดยพยายามนำเด็กเหล่านั้นออกนอกประเทศทางชายแดนประเทศโดมินิกันเพื่อส่งต่อ ไปยังสหรัฐ
เหตุการณ์เช่นนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติและ ความอดอยากของคน เพื่อใช้ในการยึดครองบังคับจิตใจในเรื่องศาสนา ซึ่งถ้าองค์กรเหล่านี้เป็นองค์กรอิสลามแล้ว รับรองได้เลยว่าต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกกล่าวหาว่าฉวยโอกาสเผยแพร่ลัทธิ การก่อการร้ายอย่างแน่นอน
อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในเฮติ คือ ได้มีนักสังคมสงเคราะห์ชาวสหรัฐที่เข้าไปทำงานช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหวใน เฮติได้เปิดเผยว่า ทหารอิสราเอลที่ถูกส่งไปช่วยเหลือชาวเฮติได้ทำการขโมยอวัยวะร่างกายของ เหยื่อแผ่นดินไหวและลักลอบส่งกลับประเทศ เขาได้กล่าวว่า มีอยู่เสมอๆคนที่มักจะใช้ประโยชน์จากความทุกข์ยากของคนอื่น และอิสราเอลก็เป็นหนึ่งในนั้น เขากล่าวต่อว่า เรื่องทำนองนี้เราเคยเห็นมาก่อนที่แอฟริกาใต้และในปาเลสไตน์ (ทั้งนี้มีรายงานว่าทางการสหรัฐในรัฐนิวเจอร์ซี่ได้จับกุมนักบวชยิวหรือแร บไบด้วยข้อหาค้าอวัยวะมนุษย์จำนวนมาก)
เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งผลงานของสหรัฐและยิวที่กระทำย่ำยีกับ มนุษย์ด้วยกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าในทุกๆวิกฤติ ทุกๆปัญหา ทุกๆความเจ็บปวดของคนอื่นบนโลกใบนี้ย่อมเป็นโอกาศของพ่อลูกคู่นี้เสมอ
03:14
By Fik_manU
7.3 ริกเตอร์ ทำให้สาธารณรัฐเฮติ ประเทศเล็กๆ บนเกาะฮิสปันโยลา ในทะเลแคริบเบียน มีคนตายพร้อมกันนับแสน และเป็นครั้งสุดท้ายที่ยืนยันว่า โลกที่เกิดจากหมอกควันใบนี้กำลังเข้าสู่ภาวะโลกสลายเข้าไปทุกที
โลกเกิดจากกลุ่มหมอกควัน สภาพของโลกที่จะสิ้นสลายไปจึงจะคล้ายกลุ่มหมอกควัน ที่พราวพุ่งขึ้นมา ระเบิดออกเป็นชั้นๆ ดุจพรายน้ำที่ค่อยๆจางไปเมื่อเรือจมลง เช่นที่เกิดขึ้นใจกลางนครเฮติ เมื่อต้นสัปดาห์นี้
วันนี้ 5 ปีก่อน สึนามิถล่มชายฝั่งตั้งแต่อาเจ๊ะห์ อินโดนีเซีย ถึงอันดามัน กวาดเก็บชีวิตผู้คนไปมากมายมหาศาล
ถัดจากนั้นไม่นานไซโคลนนาร์กิส ก็พัดถล่มนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่คนพม่า ตามด้วยแผ่นดินไหวจนคนเมืองอิงลิ้ว ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ตายเกือบยกเมือง ปรากฎการณ์เหล่านี้อาจได้รับการสันนิษฐานในเชิงวิชาการต่างๆนานา ทั้งภาวะโลกร้อน ธรรมชาติที่เสียสมดุลเพราะน้ำมือมนุษย์ หากแต่ในมุมความเชื่อและศรัทธาของมนุษย์ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจใฝ่รู้เช่นกัน
ในทางวิทยาศาสตร์ เคยมีความเชื่อเรื่องวันโลกแตก หรือวันสิ้นโลก จนมีผู้นำไปสร้างภาพยนตร์หลายเวอร์ชั่น ทั้งน้ำท่วมโลก โลกแตกเป็นเสี่ยงจากดาวหางที่พุ่งเข้าชน สุดแท้แต่จะจินตนาการกันไป แต่แน่นอนที่สุด ก็คือ วันหนึ่งโลกนี้จะต้องแตกสลายลง เหมือนดาวดวงอื่นๆ นับหมื่น นับแสนดวงที่แตกกระจายกลายเป็นฝุ่นละอองเล็กๆ ลอยเคว้งคว้างอยู่ในห้วงอวกาศก่อนหน้านี้ นานนับอสงไขย
สึนามิ พายุไซโคลนนาร์กิส ซึ่งเพี้ยนชื่อมาจากผู้เฝ้าประตูนรกในความเชื่อของอิสลาม แผ่นดินไหวในจีน แผ่นดินไหวในเฮติ และจากนี้ภัยธรรมชาติในหลายรูปแบบก็จะมาเยือนโลกมนุษย์อย่างไม่ขาดสาย นี่เป็นเหตุการณ์ปกติของพลโลกในยุคโลกร้อนหรือ ?
หาไม่ !
"เมื่อดวงอาทิตย์ดับแสงลง เมื่อดวงดาวทั้งหลายตกลงสู่พื้น เมื่อภูเขาทั้งหลายถูกทำให้เคลื่อนไหวไป เมื่ออูฐตัวเมียถูกทอดทิ้ง เมื่อสัตว์ร้ายถูกนำมารวมกัน เมื่อท้องทะเลลุกโชติช่วง เมื่อวิญญาณถูกนำมาใส่ไว้ในเรือนร่าง เมื่อเด็กหญิงที่ถูกฝังทั้งเป็นได้ถูกถาม ด้วยความผิดอันใดเล่าที่เธอถูกฆ่า เมื่อบันทึกถูกกางออก เมื่อท้องฟ้าถูกเปลี่ยนแปลง เมื่อไฟนรกลุกโชติช่วง เมื่อสวรรค์ถูกนำมาให้อยู่ใกล้ ทุกชีวิตได้รู้...."
ความตอนหนึ่งในอัล-กุรอาน วรรคอัตตักวีร อาจอธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกชั่วโมงนี้ได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ก็ตาม
ภัยพิบัติ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะในโลกใบนี้ นี่คือสัญญาณแห่งวันสิ้นโลก !!
07:15
By Fik_manU
"~~เหล้าปั่น (น้ำเมาอินเทรน) ~~"
สังคมทุกวันนี้ ยิ่งมีความเจริญมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสื่อมเสียในสังคมก็มีขึ้นมากเท่านั้น หากแต่ในอดีตรุ่นปู่รุ่นย่า เรื่องของยาเสพติดสิ่งมึนเมา และการพนันแม้จะมีอยู่บ้างตามสถานที่ต่างๆ แต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันนี้ ย่อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะล่าสุด ที่ได้เห็นได้รับรู้กันตามสื่อหนังสือพิมพ์หรือทางทีวี หรือไม่กระทั่งตามสื่ออินเตอร์เน็ท ได้มีการระบาดอย่างนักถึงการที่วัยรุ่นหันมานิยมดื่มเหล้ากันมากขึ้น โดยที่พ่อค้าหัวใสไร้จรรยาบรรณได้หันมาใช้วิธีกอบโกยเงินจากวัยรุ่นโดยใช้เหล้าปั่น ที่กำลัง อินเทรนในหมู่วัยรุ่น จนทั่งสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าวัยรุ่นไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดในโลกเป็นอันดับห้าของโลก ซึ่งการระบาดของมันได้กระจายไปอยู่ตามหน้าโรงเรียนหรือหน้ามหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งตามตลาดที่เดินจับจ่ายซื้อของในเวลากลางคืน สิ่งต่างๆเหล่านี้บ่งชี้ชัดถึงความเสื่อมโทรมของสังคมในบ้านเรา แต่กระนั้นก็ตามหากสังคมมุสลิมเราได้นำอิสลามมาใช้ในวิถีชีวิตก็จะไม่พบปัญหาต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งในเรื่องนี้อัลกรุอานได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว อัลลอฮฺตะอาลากล่าวว่า “โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัน และการเสี่ยงติ้ว นั้น เป็นสิ่งโสมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ” “ที่จริงชัยฏอนนั้นเพียงเพื่อต้องการที่จะให้เกิดการเป็นศัตรูกันและการเกลียดชังกันระหว่างพวกเจ้าในสุราและการพนันเท่านั้น และมันจะหันเหพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ และการละหมาด และพวกเจ้าจะยุติไหม” (อายะฮ์ 90- 91, อัล-มาอิดะฮ์)
ใน องค์การของอัลลอฮ์สองอายะฮ์ข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงจุดยืนของอิส ลามที่มีต่อสิ่งเสพติดโดยเฉพาะเหล้าและการพนันไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหนหรือ จะมีชื่อเก๋ไก๋อินเทรนถูกใจวัยรุ่นยุคใหม่ สักขนาดไหนก็ตามที ซึ่งในมุมมองของอิสลามแล้วเป็นสิ่งที่ต้องห้ามอย่างชัดเจน และหากเราพิจารณาถึงสองอายะฮ์ดังกล่าว เราก็จะรับรู้ได้เลยว่า อัลลอฮุตะอาลาห้ามในเรื่องของเหล้าไปพร้อมๆกับการเสี่ยงติ้วเสี่ยงทาย และแท่นหินสำหรับบูชายัน ซึ่งผู้คนในสมัยญะฮีลิยะฮ์ได้ใช้มันเพื่อเป็นการภักดีอื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งในเรื่องนี่มีหะดิษหนึ่ง ได้กล่าว่า “ผู้ที่ดื่มเหล้าหากเขาเสียชีวิต การตายของเขาเฉกเช่นผู้ที่บูชาเจว็ด” (บันทึกโดยอีหม่าม อะฮฺหมัด ลำดับที่ 677’ หะดิษศอเฮี๊ยะ เชคอัลบานีย์) ... อีกทั้งยังไม่พออัลกรุอานยังเรียกโดยใช้คำว่า “สิ่งโสมม” ซึ่งคำนี้อัลกรุอานมิได้ใช้คำใดนอกจากจะใช้เรียกชัยฎอนและหมูว่ามันเป็นสิ่งโสมม ซึ่งยังไม่พอแค่นี้อัลกรุอานยังใช้คำว่า “การงานของชัยฎอน” ซึ่งเป็นการงานที่ชั่วช้าและนำพาไปสู่ความหายนะในวันกิยามัตทั้งสิ้น ตลอดจนท้ายสุดอัลกุรอานได้สั่งให้ออกห่างจากสิ่งดังกล่าว ซึ่งการที่เราออกห่างจากสิ่งดังกล่าวมันคือสาเหตุแห่งชัยชนะและความสำเร็จ
และในสองอายะฮ์ดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานชี้ชัดอย่างชัดเจนต่อจุดยืนและมุมมองของอิสลามในการห้ามสิ่งเสพติดมึนเมาทุกชนิด โดยเฉพาะเหล้าปั่นซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ โดยที่ในท้ายอายะฮ์พระองค์อัลลอฮฺได้กล่าว่า “แล้วพวกเจ้าหล่ะ จะยุติไหม?” แล้วเราหล่ะในเมื่ออัลลอฮฺได้ถามเราเช่นนี้ เราในฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ จะเลิกพฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ หรือยังจะคงดึงดันปฎิบัติตามแบบอย่างของคนที่ไม่ใช่มุสลิม หรือไม่เช่นนั้นแล้วก็จงเตรียมตัวตอบคำถามกับอัลลอฮฺในวันกิยามะฮ์ว่าตอนอยู่บนโลกดุนยา ได้ตอบรับปฎิบัติตามคำกล่าวของอัลลอฮฺตะอาลาในเรื่องนี้หรือเปล่า ……..
17:00
By Fik_manU
ไคโร – ชาวอเมริกันกำลังวิพากษ์วิจารณ์กองทหารสหรัฐ กรณีนำปืนที่มีจารึกโองการคัมภีร์ใบเบิ้ลจำนวนมาก ออกมาให้ทหารที่ไปรบในอิรัก และอัฟกานิสถานใช้ ยิ่งกว่านั้นยังอาจเป็นการฝ่าฝืนกฎของกองทัพ ที่ไม่อนุญาตให้ทหารเผยแพร่ศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสนำเรื่องนี้ไปเป็นประโยชน์
กองทหารสหรัฐตกเป็นจำเลยสังคม กรณีจารึกหมายเลขโองการไบเบิ้ลบนกล้องติดปืน
หลัง จากสำนักข่าว เอบีซี.เปิดเผยข่าวนี้เมื่อวันจันทร์ (18/1) ว่าปืนไรเฟิ่ลติดกล้องเล็งเป้าจำนวนหลายพันชุด ซึ่งทหารนำไปใช้ในอิรัก และอัฟกานิสถาน มีการจารึกหมายเลขโองการในใบเบิ้ลบนกล้อง ซึ่งบริษัททริจิคอน ในมิชิแกน ที่ผลิตกล้องดังกล่าว ได้ออกมายอมรับและว่าได้จารึกหมายเลขโองการไบเบิ้ลมาหลายปีแล้ว และทางกระทรวงป้องกันก็มีเอกสารที่ยืนยันการจ้างบริษัทดังกล่าวผลิตกล้อง เล็งเป้าติดปืนไรเฟิ่ล ด้วยจำนวนเงินหลายล้านดอลล่าร์มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฉพาะในปี 2005 ปีเดียวบริษัทรับงานมูลค่า 63 ล้านดอลล่าร์ เพื่อผลิตกล้อง 104,000 ตัวให้แก่หน่วยทหารนาวิกโยธิน
คาร์ล เลวิน วุฒิสมาชิกซึ่งเป็นกรรมาธิการด้านจัดหาอาวุธ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วแย่ลงไปอีก เนื่องจากไม่ควรระบุถึงการสนับสนุนศาสนาใดๆ บนทรัพย์สินของรัฐบาล
แม้ แต่ทหารกลุ่มที่ไม่สังกัดศาสนายังแสดงความไม่พอใจ เพราะเห็นว่าเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ และกฎระเบียบของกองทัพ เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของทหารไม่ควรเกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ไม่ว่าศาสนา ใด
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพออกมาปกป้องเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า ตราบใดที่ทหารยังต้องใช้อุปกรณ์ในการเล็งเป้า ก็ยังต้องให้กล้องดังกล่าวคงอยู่ในกองทัพต่อไป
ผู้เชี่ยวชาญได้ออกมา เตือนว่า ฝ่ายตรงข้ามอาจนำเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ โดยโยงใยสงครามในอิรัก และอัฟกานิสถาน เป็นครูเสดยุคสุดท้ายซึ่งมีอเมริกาเป็นผู้นำทัพ ซึ่งจะทำให้ประชาชนธรรมดาหันมาต่อต้านสหรัฐ และกลับไปเข้าข้างผู้ก่อการร้าย
กอง ทัพสหรัฐยังไม่สามารถตอบคำถามกรณีอื้อฉาว เกี่ยวกับการพยายามเผยแพร่ศาสนา โดยก่อนหน้านี้สถานีโทรทัศน์อัล-จาซีร่า เผยแพร่คลิปภาพยนตร์เป็นภาพการเทศนาธรรมของคริสตศาสนาในฐานทัพอากาศในบาแกรม ซึ่งในสถานที่ดังกล่าวมีคัมภีร์ไบเบิ้ลซึ่งพิมพ์เป็นภาษาท้องถิ่นอัฟกันกอง สุมอยู่ - มุสลิมไทยดอทคอม
01:44
By Fik_manU
มุสลิมไทยคอมคอม
อา คารเบิร์จ คาลิฟา เป็นเจ้าของสถิติ “ที่สุด” ในหลายๆ ด้าน อาคารซึ่งมีกว่า 160 ชั้นนี้ใช้เวลาสร้าง 5 ปี ด้วยงบประมาณ 1.5 พันล้านดอลล่าร์ มีพื้นที่ให้จับจอง 6 ล้านตารางฟุต ซึ่งเจ้าของกว่า 12,000 รายได้จองพื้นที่ไปแล้ว
ตึกที่สูงที่สุดในโลก
อาคารนี้มีลิฟต์ทั้งหมด 54 ตัว ซึ่งมีความเร็วถึง 40 ไมล์ต่อชั่วโมง
| 1. อาคารนี้เป็นที่ตั้งของมัสยิดที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งอยู่บนชั้นที่ 158 2. สระว่ายน้ำที่สูงที่สุดในโลกอยู่บนชั้นที่ 76 3. ระเบียงชมวิวที่สูงที่สุดในโลกอยู่บนชั้นที่ 124 4. ยังมีโรงแรมหรูแห่งแรกของดีไซเนอร์อาร์มานี่ รวมทั้งเป็นอาคารที่มีโครงสร้างแนวตั้งอิสระที่สูงที่สุดในโลก (ในอดีตอาคารซีเอ็น ในเมืองโตรอนโต้ครองตำแหน่ง) ลิฟต์ที่มีเส้นทางยาวที่สุด 5. อาคารที่มีชั้นมากที่สุดในโลก |
อาคารนี้สูงจนสามารถมองเห็นได้ในระยะ 100 กิโลเมตร (63 ไมล์) บนระนาบพื้นดิน ส่วนชาวเรือสามารถมองเห็นอาคารนี้ในระยะ 50 ไมล์จากกลางมหาสมุทร อากาศบนยอดตึกต่ำกว่าด้านล่าง ประมาณ 8 องศาเซลเซียส
อาคารคิงด้อม ทาวเว่อร์ ในกรุงริยาดฮฺ
สถิติเดิมของมัสยิดที่สูงที่สุดในโลก อยู่ในอาคารคิงด้อม ทาวเว่อร์ ในกรุงริยาดฮฺ โดยมัสยิดนี้มีชื่อว่า มัสยิดพริ้นซ์ อับดุลเลาะฮฺ ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 180 เมตร เจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลัล เจ้าชายมหาเศรษฐีแห่งซาอุดี้ เป็นผู้บริจาคสร้างขึ้น มัสยิดที่งดงามนี้ออกแบบเป็นรูปโดม มีขนาดพื้นที่ 500 ตารางเมตร และมีห้องนมาซของผู้หญิงแยกต่างหาก มัสยิดเป็นส่วนหนึ่งของภัตตาคาร Spazio ซึ่งอยู่บนชั้นที่ 77 ของอาคารคิงด้อม ทาวเว่อร์ - www.muslimthai.com