สหรัฐ และอิสราเอล กับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเฮติ

คอลัม:
อบู อุบัยยฺ นาแซ

แผ่นดินไหวที่เฮติ แหล่งผลประโยชน์ของสหรัฐ-ยิว

ลายๆ คนคงได้ติดตามข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศเฮติซึ่งตัวเลขผู้เสียชีวิต อย่างเป็นทางการตอนนี้อยู่ที่ 120,000 คน ไม่รู้ว่าขณะที่ท่านกำลังอ่านบทความนี้ ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะถึง 2 แสนคนตามที่มีการคาดการกันไว้หรือไม่? ภาพผู้เสียชีวิต ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้ไม่มีบ้านจะอยู่ ภาพการแย่งอาหาร ภาพการปล้นสะดม ซากปรักหักพังของบ้านเรือน ภาพสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลาย เหล่านี้ผู้อ่านคงได้เห็นตามสื่อต่างๆมากมายนับตั้งแต่วันเกิดเหตุ

สิ่งที่ผู้เขียนจะนำเสนอในวันนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวเช่นเดียวกัน แต่เป็นเหตุการณ์ที่สื่อไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะถูกครอบงำ เพราะกลัว เพราะต้องการปกป้องพวกเดียวกันหรือเพราะอะไรก็ตาม แต่เหตุการณ์เหล่านี้ควรได้รับการเปิดเผย เหตุการณ์แรกคือ เหตุการณ์ฝรั่งเศสได้กล่าวหาสหรัฐอเมริกาว่าเข้ามายึดครองเฮติ เนื่องจากภายหลังแผ่นดินไหวไม่กี่วัน สหรัฐก็ได้ส่งทหารเข้าไปควบคุมสนามบินนานาชาติในกรุงปอโตแปรงส์เพื่อให้ เครื่องบินขนทหารและเครื่องบินรบของอเมริกาได้ลงจอดเพื่อนำทหารหลายหมื่นคน พร้อมอาวุธครบมือเข้ามาในเมืองหลวง แม้แต่สหประชาชาติก็ได้วิจารณ์การกระทำดังกล่าวของสหรัฐโดยกล่าวว่า กองทัพสหรัฐเป็นอุปสรรคต่อความช่วยเหลือของนานาชาติ เนื่องจากได้ใช้สนามบินที่มีอยู่แห่งเดียวในการขนอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร (คงจะไปรบกับเหยื่อแผ่นดินไหวที่ไม่มีอาหารจะกิน)

เหตุการณ์ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะความคิดในการยึดครอง ควบคุม ใช้ประโยชน์จากประเทศอื่นเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในมันสมองและเป็นนโยบายของ บรรดาผู้ปกครองสหรัฐอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวว่าประเทศอื่นนั้นจะอยู่ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากเพียงใดก็ตาม ถ้าหากความความเจ็บปวดของประเทศอื่นแล้วมีประโยชน์ต่อตนเอง สหรัฐยินดีและพร้อมเสมอและไม่ลังเลในการเข้าไปควบคุมยึดครอง ดังที่เราได้เห็นแล้วในอาเจห์ตอนที่ถูกคลื่นซือนามิถล่ม หรือการยึดครองอิรัก และอัฟกานิสถานที่ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตไปแล้วหลายแสนคน (ลืมบอกว่าเฮติอยู่ห่างจากคิวบาศัตรูตัวฉกาจของสหรัฐเพียงแค่ 90 กิโลเมตร)

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นคือ องค์กรศาสนาคริสต์ของสหรัฐหลายแห่งได้ส่งนักเผยแพร่ศาสนาและไบเบิลดิจิตอล เข้าไปในเฮติ โดยอ้างว่าอาหารจิตใจต้องมาก่อนอาหารร่างกาย (ในเฮติส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์แต่มีบางส่วนที่นับถือลัทธิวูดูและ มีมุสลิมอาศัยอยู่ประมาณ หนึ่ง – สองหมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำที่มีบรรพบุรุษของทาสที่เสปนและฝรั่งเศสนำเข้ามา และมีบางส่วนเป็นอาหรับที่อพยพมาจากโมร็อคโค ซึ่งมุสลิมส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง) นอกจากนี้ยังมีข่าวทางการของเฮติได้จับกุมชาวสหรัฐด้วยข้อหาลักพาตัวเด็กชาว เฮติอายุตั้งแต่ 2 เดือนถึง 12 ขวบ หลายสิบคน โดยพยายามนำเด็กเหล่านั้นออกนอกประเทศทางชายแดนประเทศโดมินิกันเพื่อส่งต่อ ไปยังสหรัฐ

เหตุการณ์เช่นนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติและ ความอดอยากของคน เพื่อใช้ในการยึดครองบังคับจิตใจในเรื่องศาสนา ซึ่งถ้าองค์กรเหล่านี้เป็นองค์กรอิสลามแล้ว รับรองได้เลยว่าต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกกล่าวหาว่าฉวยโอกาสเผยแพร่ลัทธิ การก่อการร้ายอย่างแน่นอน

อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในเฮติ คือ ได้มีนักสังคมสงเคราะห์ชาวสหรัฐที่เข้าไปทำงานช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหวใน เฮติได้เปิดเผยว่า ทหารอิสราเอลที่ถูกส่งไปช่วยเหลือชาวเฮติได้ทำการขโมยอวัยวะร่างกายของ เหยื่อแผ่นดินไหวและลักลอบส่งกลับประเทศ เขาได้กล่าวว่า มีอยู่เสมอๆคนที่มักจะใช้ประโยชน์จากความทุกข์ยากของคนอื่น และอิสราเอลก็เป็นหนึ่งในนั้น เขากล่าวต่อว่า เรื่องทำนองนี้เราเคยเห็นมาก่อนที่แอฟริกาใต้และในปาเลสไตน์ (ทั้งนี้มีรายงานว่าทางการสหรัฐในรัฐนิวเจอร์ซี่ได้จับกุมนักบวชยิวหรือแร บไบด้วยข้อหาค้าอวัยวะมนุษย์จำนวนมาก)

เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งผลงานของสหรัฐและยิวที่กระทำย่ำยีกับ มนุษย์ด้วยกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าในทุกๆวิกฤติ ทุกๆปัญหา ทุกๆความเจ็บปวดของคนอื่นบนโลกใบนี้ย่อมเป็นโอกาศของพ่อลูกคู่นี้เสมอ

เฮติวิปโยค สัญญาณโลกดับ !

คอลัม:
จอกอ
แผ่นดินไหวที่เฮติ

7.3 ริกเตอร์ ทำให้สาธารณรัฐเฮติ ประเทศเล็กๆ บนเกาะฮิสปันโยลา ในทะเลแคริบเบียน มีคนตายพร้อมกันนับแสน และเป็นครั้งสุดท้ายที่ยืนยันว่า โลกที่เกิดจากหมอกควันใบนี้กำลังเข้าสู่ภาวะโลกสลายเข้าไปทุกที

โลกเกิดจากกลุ่มหมอกควัน สภาพของโลกที่จะสิ้นสลายไปจึงจะคล้ายกลุ่มหมอกควัน ที่พราวพุ่งขึ้นมา ระเบิดออกเป็นชั้นๆ ดุจพรายน้ำที่ค่อยๆจางไปเมื่อเรือจมลง เช่นที่เกิดขึ้นใจกลางนครเฮติ เมื่อต้นสัปดาห์นี้

วันนี้ 5 ปีก่อน สึนามิถล่มชายฝั่งตั้งแต่อาเจ๊ะห์ อินโดนีเซีย ถึงอันดามัน กวาดเก็บชีวิตผู้คนไปมากมายมหาศาล

ถัดจากนั้นไม่นานไซโคลนนาร์กิส ก็พัดถล่มนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่คนพม่า ตามด้วยแผ่นดินไหวจนคนเมืองอิงลิ้ว ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ตายเกือบยกเมือง ปรากฎการณ์เหล่านี้อาจได้รับการสันนิษฐานในเชิงวิชาการต่างๆนานา ทั้งภาวะโลกร้อน ธรรมชาติที่เสียสมดุลเพราะน้ำมือมนุษย์ หากแต่ในมุมความเชื่อและศรัทธาของมนุษย์ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจใฝ่รู้เช่นกัน

ในทางวิทยาศาสตร์ เคยมีความเชื่อเรื่องวันโลกแตก หรือวันสิ้นโลก จนมีผู้นำไปสร้างภาพยนตร์หลายเวอร์ชั่น ทั้งน้ำท่วมโลก โลกแตกเป็นเสี่ยงจากดาวหางที่พุ่งเข้าชน สุดแท้แต่จะจินตนาการกันไป แต่แน่นอนที่สุด ก็คือ วันหนึ่งโลกนี้จะต้องแตกสลายลง เหมือนดาวดวงอื่นๆ นับหมื่น นับแสนดวงที่แตกกระจายกลายเป็นฝุ่นละอองเล็กๆ ลอยเคว้งคว้างอยู่ในห้วงอวกาศก่อนหน้านี้ นานนับอสงไขย

สึนามิ พายุไซโคลนนาร์กิส ซึ่งเพี้ยนชื่อมาจากผู้เฝ้าประตูนรกในความเชื่อของอิสลาม แผ่นดินไหวในจีน แผ่นดินไหวในเฮติ และจากนี้ภัยธรรมชาติในหลายรูปแบบก็จะมาเยือนโลกมนุษย์อย่างไม่ขาดสาย นี่เป็นเหตุการณ์ปกติของพลโลกในยุคโลกร้อนหรือ ?

หาไม่ !

"เมื่อดวงอาทิตย์ดับแสงลง เมื่อดวงดาวทั้งหลายตกลงสู่พื้น เมื่อภูเขาทั้งหลายถูกทำให้เคลื่อนไหวไป เมื่ออูฐตัวเมียถูกทอดทิ้ง เมื่อสัตว์ร้ายถูกนำมารวมกัน เมื่อท้องทะเลลุกโชติช่วง เมื่อวิญญาณถูกนำมาใส่ไว้ในเรือนร่าง เมื่อเด็กหญิงที่ถูกฝังทั้งเป็นได้ถูกถาม ด้วยความผิดอันใดเล่าที่เธอถูกฆ่า เมื่อบันทึกถูกกางออก เมื่อท้องฟ้าถูกเปลี่ยนแปลง เมื่อไฟนรกลุกโชติช่วง เมื่อสวรรค์ถูกนำมาให้อยู่ใกล้ ทุกชีวิตได้รู้...."

ความตอนหนึ่งในอัล-กุรอาน วรรคอัตตักวีร อาจอธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกชั่วโมงนี้ได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ก็ตาม

ภัยพิบัติ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะในโลกใบนี้ นี่คือสัญญาณแห่งวันสิ้นโลก !!

หรือจะเอ่ยคำว่ารักในวันวาเลนไทน์

ดอกกุหลาบ เหยื่อแห่งการอุปโลกวาเลนไทน์
คอลัม:
อิบนุอาลีอัลนัดวีย์

อีกไม่ กี่อึดใจแล้วสินะก็จะถึงวันแห่งความรัก วันที่ชายหญิงหนุ่มสาวสมัยใหม่ ต่างแสดงออกซึ่งสิ่งที่ทุกคนเรียกมันว่า “ความรัก” บ้างแสดงออกด้วยกับคำพุดเชยๆประโยคเดิมๆที่พูดกันติดปาก ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เขาใช้กันพร้อมดอกไม้ช่องาม แล้วยื่นให้แล้วพูดคำว่า “ฉันรักเธอนะ” หรืออาจจะออกแนวน่ารักใสๆ คิกขุอาโนเนะ “รักนะเด็กโง่” หรือจะออกแนวอินเทรนด์โดนใจวัยรุ่นสไตล์เกาหลีๆอย่าง “ซารังแฮโย” หรือจะอะไรก็แล้วแต่ที่เหล่าวัยรุ่นยุคใหม่จะสรรหามาเติมแต่งสิ่งที่ตัวเอง เรียกมันว่า “ความรัก”

เพื่อจะแสดงออกให้กับเพศตรงข้ามซึ่งเป็นคู่รักของตนได้ชื่นชมกับความรัก และในที่สุดก็จบลงด้วยกับการร่วมหลับนอนได้เสียกัน ...

นี่นะหรือ? คำว่ารักที่สังคมเขาต่างเชิดชูยกย่องเป็นที่นิยมกัน ประดับประดาด้วยคำพูดที่สวยหรูว่ามันคือวันแห่งความรัก คือวันแห่งการมอบความรักให้แก่กันและกัน แต่สำหรับพวกเราหนุ่มสาวอิสลามมิได้มองสิ่งนั้นเป็นความรักเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่ามันคือตัณหาราคะที่อยู่ในนิยามของคำว่า “รัก” ต่างหาก ! ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาป่าที่ชาญฉลาดที่คอยล่อเหยื่อมาให้ติดกับดักที่วางไว้ เมื่อเหยื่อเผลอหลงมาติดกับดัก หมาป่าตัวนั้นก็กระโดดเข้าตะครุบ แล้วก็ฉีกร่างของเหยื่อกินอย่างหิวโหย พอกินอิ่มหนำสำราญ ก็เหลือเพียงแต่ซากกระดูกที่กองไว้บนลานดินโดยที่มันมิได้หันมาเหลียวแลอีก เลย ...... นี่นะหรือ? คือสิ่งที่พวกเขาเรียกมันว่าความ “รัก” เปล่าเลย! ความรักของหนุ่มสาวในอิสลามมีค่ามากกว่านั้น คือความรักแห่งการให้เกียรติ ปกป้อง ดูแล ให้ความสุข ความรัก ความเมตตาอาทรซึ่งกันและกัน “และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ คือทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้าเอง เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่กับนาง และทรงให้มีความรักใคร่และความเมตตาระหว่างพวกเจ้า แท้จริงในการนี้ แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ” (อัรรูม:21) เป็นเสมือนดั่งหนามของดอกกุหลาบ ที่คอยระวังป้องกันมิให้ใครต่อใครมาหยิบมาจับได้ง่ายๆ ดั่งมีคำกล่าวคำนึงของนักกวีชาวแคชเมียร์ ซึ่งมีนามว่า มุฮัมหมัดอิกบาล ได้กล่าวว่า “หากว่าหนาม (ของดอกกุหลาบ) กลายเป็นไหมอันอ่อนนุ่มละไมแล้วไซร้ ดอกกุหลาบคงกลายเป็นดอกที่ไม่ปลอดภัยและไม่ยืนยงอย่างแน่นอน” และทั้งหมดนี่แหละ คือสิ่งที่เรียกว่าความ “รัก” ในอิสลาม และทั้งหมดนี่จะเกิดขึ้นไม่ได้นอกเสียจากว่าภายหลังสิ้นสุดเสียงแห่งการนิกา ห์ “บาเราะกัลลอฮฺละกะ วะบาเราะกาอะลัยกะ วะญะมะอาบัยนะกุมาฟีลค็อยริ” (รายงานโดยอบูฮุรัยเราะฮ์ บันทึกโดย อะหฺหมัด ติรมีซีย์ และ อิบนุคุซัยมะฮ์ ) ... และสิ้นสุดคำกล่าวอวยพรนี้แหละ ความรักของหนุ่มสาวอิสลามก็ได้เริ่มขึ้น !!!!

(◕‿◕✿)เหล้าปั่น(น้ำเมาอินเทรน)(◕‿◕✿)

"~~เหล้าปั่น (น้ำเมาอินเทรน) ~~"

สังคมทุกวันนี้ ยิ่งมีความเจริญมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสื่อมเสียในสังคมก็มีขึ้นมากเท่านั้น หากแต่ในอดีตรุ่นปู่รุ่นย่า เรื่องของยาเสพติดสิ่งมึนเมา และการพนันแม้จะมีอยู่บ้างตามสถานที่ต่างๆ แต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันนี้ ย่อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะล่าสุด ที่ได้เห็นได้รับรู้กันตามสื่อหนังสือพิมพ์หรือทางทีวี หรือไม่กระทั่งตามสื่ออินเตอร์เน็ท ได้มีการระบาดอย่างนักถึงการที่วัยรุ่นหันมานิยมดื่มเหล้ากันมากขึ้น โดยที่พ่อค้าหัวใสไร้จรรยาบรรณได้หันมาใช้วิธีกอบโกยเงินจากวัยรุ่นโดยใช้เหล้าปั่น ที่กำลัง อินเทรนในหมู่วัยรุ่น จนทั่งสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าวัยรุ่นไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดในโลกเป็นอันดับห้าของโลก ซึ่งการระบาดของมันได้กระจายไปอยู่ตามหน้าโรงเรียนหรือหน้ามหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งตามตลาดที่เดินจับจ่ายซื้อของในเวลากลางคืน สิ่งต่างๆเหล่านี้บ่งชี้ชัดถึงความเสื่อมโทรมของสังคมในบ้านเรา แต่กระนั้นก็ตามหากสังคมมุสลิมเราได้นำอิสลามมาใช้ในวิถีชีวิตก็จะไม่พบปัญหาต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งในเรื่องนี้อัลกรุอานได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว อัลลอฮฺตะอาลากล่าวว่า “โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัน และการเสี่ยงติ้ว นั้น เป็นสิ่งโสมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ” “ที่จริงชัยฏอนนั้นเพียงเพื่อต้องการที่จะให้เกิดการเป็นศัตรูกันและการเกลียดชังกันระหว่างพวกเจ้าในสุราและการพนันเท่านั้น และมันจะหันเหพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ และการละหมาด และพวกเจ้าจะยุติไหม” (อายะฮ์ 90- 91, อัล-มาอิดะฮ์)

ใน องค์การของอัลลอฮ์สองอายะฮ์ข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงจุดยืนของอิส ลามที่มีต่อสิ่งเสพติดโดยเฉพาะเหล้าและการพนันไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหนหรือ จะมีชื่อเก๋ไก๋อินเทรนถูกใจวัยรุ่นยุคใหม่ สักขนาดไหนก็ตามที ซึ่งในมุมมองของอิสลามแล้วเป็นสิ่งที่ต้องห้ามอย่างชัดเจน และหากเราพิจารณาถึงสองอายะฮ์ดังกล่าว เราก็จะรับรู้ได้เลยว่า อัลลอฮุตะอาลาห้ามในเรื่องของเหล้าไปพร้อมๆกับการเสี่ยงติ้วเสี่ยงทาย และแท่นหินสำหรับบูชายัน ซึ่งผู้คนในสมัยญะฮีลิยะฮ์ได้ใช้มันเพื่อเป็นการภักดีอื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งในเรื่องนี่มีหะดิษหนึ่ง ได้กล่าว่า “ผู้ที่ดื่มเหล้าหากเขาเสียชีวิต การตายของเขาเฉกเช่นผู้ที่บูชาเจว็ด” (บันทึกโดยอีหม่าม อะฮฺหมัด ลำดับที่ 677’ หะดิษศอเฮี๊ยะ เชคอัลบานีย์) ... อีกทั้งยังไม่พออัลกรุอานยังเรียกโดยใช้คำว่า “สิ่งโสมม” ซึ่งคำนี้อัลกรุอานมิได้ใช้คำใดนอกจากจะใช้เรียกชัยฎอนและหมูว่ามันเป็นสิ่งโสมม ซึ่งยังไม่พอแค่นี้อัลกรุอานยังใช้คำว่า “การงานของชัยฎอน” ซึ่งเป็นการงานที่ชั่วช้าและนำพาไปสู่ความหายนะในวันกิยามัตทั้งสิ้น ตลอดจนท้ายสุดอัลกุรอานได้สั่งให้ออกห่างจากสิ่งดังกล่าว ซึ่งการที่เราออกห่างจากสิ่งดังกล่าวมันคือสาเหตุแห่งชัยชนะและความสำเร็จ

และในสองอายะฮ์ดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานชี้ชัดอย่างชัดเจนต่อจุดยืนและมุมมองของอิสลามในการห้ามสิ่งเสพติดมึนเมาทุกชนิด โดยเฉพาะเหล้าปั่นซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ โดยที่ในท้ายอายะฮ์พระองค์อัลลอฮฺได้กล่าว่า “แล้วพวกเจ้าหล่ะ จะยุติไหม? แล้วเราหล่ะในเมื่ออัลลอฮฺได้ถามเราเช่นนี้ เราในฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ จะเลิกพฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ หรือยังจะคงดึงดันปฎิบัติตามแบบอย่างของคนที่ไม่ใช่มุสลิม หรือไม่เช่นนั้นแล้วก็จงเตรียมตัวตอบคำถามกับอัลลอฮฺในวันกิยามะฮ์ว่าตอนอยู่บนโลกดุนยา ได้ตอบรับปฎิบัติตามคำกล่าวของอัลลอฮฺตะอาลาในเรื่องนี้หรือเปล่า ……..