หรือจะเอ่ยคำว่ารักในวันวาเลนไทน์

ดอกกุหลาบ เหยื่อแห่งการอุปโลกวาเลนไทน์
คอลัม:
อิบนุอาลีอัลนัดวีย์

อีกไม่ กี่อึดใจแล้วสินะก็จะถึงวันแห่งความรัก วันที่ชายหญิงหนุ่มสาวสมัยใหม่ ต่างแสดงออกซึ่งสิ่งที่ทุกคนเรียกมันว่า “ความรัก” บ้างแสดงออกด้วยกับคำพุดเชยๆประโยคเดิมๆที่พูดกันติดปาก ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เขาใช้กันพร้อมดอกไม้ช่องาม แล้วยื่นให้แล้วพูดคำว่า “ฉันรักเธอนะ” หรืออาจจะออกแนวน่ารักใสๆ คิกขุอาโนเนะ “รักนะเด็กโง่” หรือจะออกแนวอินเทรนด์โดนใจวัยรุ่นสไตล์เกาหลีๆอย่าง “ซารังแฮโย” หรือจะอะไรก็แล้วแต่ที่เหล่าวัยรุ่นยุคใหม่จะสรรหามาเติมแต่งสิ่งที่ตัวเอง เรียกมันว่า “ความรัก”

เพื่อจะแสดงออกให้กับเพศตรงข้ามซึ่งเป็นคู่รักของตนได้ชื่นชมกับความรัก และในที่สุดก็จบลงด้วยกับการร่วมหลับนอนได้เสียกัน ...

นี่นะหรือ? คำว่ารักที่สังคมเขาต่างเชิดชูยกย่องเป็นที่นิยมกัน ประดับประดาด้วยคำพูดที่สวยหรูว่ามันคือวันแห่งความรัก คือวันแห่งการมอบความรักให้แก่กันและกัน แต่สำหรับพวกเราหนุ่มสาวอิสลามมิได้มองสิ่งนั้นเป็นความรักเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่ามันคือตัณหาราคะที่อยู่ในนิยามของคำว่า “รัก” ต่างหาก ! ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาป่าที่ชาญฉลาดที่คอยล่อเหยื่อมาให้ติดกับดักที่วางไว้ เมื่อเหยื่อเผลอหลงมาติดกับดัก หมาป่าตัวนั้นก็กระโดดเข้าตะครุบ แล้วก็ฉีกร่างของเหยื่อกินอย่างหิวโหย พอกินอิ่มหนำสำราญ ก็เหลือเพียงแต่ซากกระดูกที่กองไว้บนลานดินโดยที่มันมิได้หันมาเหลียวแลอีก เลย ...... นี่นะหรือ? คือสิ่งที่พวกเขาเรียกมันว่าความ “รัก” เปล่าเลย! ความรักของหนุ่มสาวในอิสลามมีค่ามากกว่านั้น คือความรักแห่งการให้เกียรติ ปกป้อง ดูแล ให้ความสุข ความรัก ความเมตตาอาทรซึ่งกันและกัน “และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ คือทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้าเอง เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่กับนาง และทรงให้มีความรักใคร่และความเมตตาระหว่างพวกเจ้า แท้จริงในการนี้ แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ” (อัรรูม:21) เป็นเสมือนดั่งหนามของดอกกุหลาบ ที่คอยระวังป้องกันมิให้ใครต่อใครมาหยิบมาจับได้ง่ายๆ ดั่งมีคำกล่าวคำนึงของนักกวีชาวแคชเมียร์ ซึ่งมีนามว่า มุฮัมหมัดอิกบาล ได้กล่าวว่า “หากว่าหนาม (ของดอกกุหลาบ) กลายเป็นไหมอันอ่อนนุ่มละไมแล้วไซร้ ดอกกุหลาบคงกลายเป็นดอกที่ไม่ปลอดภัยและไม่ยืนยงอย่างแน่นอน” และทั้งหมดนี่แหละ คือสิ่งที่เรียกว่าความ “รัก” ในอิสลาม และทั้งหมดนี่จะเกิดขึ้นไม่ได้นอกเสียจากว่าภายหลังสิ้นสุดเสียงแห่งการนิกา ห์ “บาเราะกัลลอฮฺละกะ วะบาเราะกาอะลัยกะ วะญะมะอาบัยนะกุมาฟีลค็อยริ” (รายงานโดยอบูฮุรัยเราะฮ์ บันทึกโดย อะหฺหมัด ติรมีซีย์ และ อิบนุคุซัยมะฮ์ ) ... และสิ้นสุดคำกล่าวอวยพรนี้แหละ ความรักของหนุ่มสาวอิสลามก็ได้เริ่มขึ้น !!!!

0 Responses